ละครชาตรีโบราณมีการแต่งกายเหมือนละครนอก ดังที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2542 : 90) ได้อธิบายการแต่งกายของละครชาตรีโบราณ ซึ่งมีการแต่งกายเหมือนละครนอก สวมสนับเพลายาวกรอมเท้า นุ่งผ้าหยักรั้งสูง มีหางกระเบนห้อยลงมาเล็กน้อยในลักษณะเป็นหางหงส์ ไม่สวมเสื้อ แต่มีสร้อยคอและสายสร้อยสังวาล ข้อมือสวมกำไล นิ้วสวมเล็บแหลมยาวเรียว ข้อเท้าสวมกำไลและมีลูกกระพรวนศีรษะสมเทริด (ชฎา) การแต่งตัวและแต่งหน้าของละครนอกโบราณจะทาตัวเป็นสีเหลืองโดยใช้ขมิ้น แต่หน้าขาวโดยใช้ดินสอพลอง ทาปากแดงด้วยชาด เขียนคิ้วดำด้วยเขม่าดินหม้อที่เกิดจากไม้ฟืนตามก้นหม้อ ก้นกระทะ แต่ในปัจจุบันการแต่งกายมีการพัฒนาขึ้น โดยนิยมแต่งกายยืนเครื่องพระนาง
ตัวพระ สมชฎา ทัดดอกไม้ 2 ข้าง สวมเสื้อโดยโบราณเป็นเสื้อแขนยาวมีหงอน (อินทนู) นุ่งผ้าหางหงส์ ปัจจุบันนิยมเสื้อแขนสั้น นุ่งโจงกระเบนไม่มีหาง ห้อยชายระบาด (ห้อยหน้าและห้อยข้าง) มีรัดเชบ (พอกข้าง) สวมนวมคอ (กรองคอ) มีเครื่องประดับคือทับทรวง สังวาล สวมข้อเท้าและข้อมือ สวมถุงเท้าสีขาว
ตัวนาง สวมชฎา ทัดดอกไม้ 2 ข้าง ใส่เสื้อนาง (เสื้อในนาง) ผ้าห่มนาง นุ่งผ้าจีบหน้านาง ใส่นวมคอ (กรองคอ) เครื่องประดับคือ ทับทรวง สวมข้อมือ และข้อเท้า
นักดนตรี มีการแต่งกายในชุดสุภาพ มิได้กำหนดเป็นแบบแผนว่าต้องแต่งแบบใด ในการแสดงรำสิบสองท่า ผู้แสดงต้องใส่ชุดยืนเครื่องพระ-นาง ส่วนของการรำซัดชาตรี ผู้แสดงจะต้องแต่งกายยืนเครื่องตัวพระเท่านั้น ออกรำเป็นคู่ และในการแสดงตัวเอกของเรื่องจะแต่งกายยืนเครื่องพระ-นาง และตัวละครอื่นๆ จะแต่งกายตามลักษณะของตัว เช่น ตัวตลก นางแมว เป็นต้น
|