สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ละครรำของไทยมี 3 อย่างคือ ละครชาตรี ละครนอกและละครใน โดยละครชาตรีเป็นละครเดิม และเป็นพื้นฐานของละครอื่นๆ เช่น ละครนอกเมื่อสิ้นแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2310 ครูละครหลวงได้กระจัดกระจายหนีหายจากภัยสงครามไปที่ต่างๆ หน่วนหนึ่งหนีไปอยู่ที่นครศรีธรรมราช เมื่อถึงสมัยกรุงธนบุรี พระยาตากปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ.2312 พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำละครหลวงจากนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นละครผู้หญิงของเจ้าพระยามหานครฯ สมทบกับละครที่รวบรวมได้จากที่อื่นมาหัดละครหลวงขึ้นใหม่ในสมัยกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2323 งานฉลองพระแก้วมรกตทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ละครของเจ้าพระยามหานครฯ มาแสดงประชันกับละครหลวง
ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ในปี พ.ศ.2325 ทรงฟื้นฟูมหรสพต่างๆ เช่น โขน หุ่นหลวง และละครผู้หญิงให้มีแต่พระราชวังหลวงเพียงแห่งเดียวตามแบบ ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครและทรงปรับปรุงบทละครต่างๆ บทละครในเรื่องอิเหนา บทละครนอก 6 เรื่อง (สังข์ทอง คาวี มณีพิชัย ไกรทอง ไชยเชษฐ์ สังข์ศิลปะไชย) บทโขนหลายตอน เป็นต้น เป็นสมัยที่การละครเจริญรุ่งเรืองที่สุด
สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้เลิกละครหลวงแต่ละครของผู้อื่นก็ไม่ทรงห้าม จึงเกิดคณะละครขึ้นมากมายในนคร เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้หัดละครหลวง และทรงโปรดอนุญาตให้เจ้านาย ขุนนาง และผู้มีบรรดาศักดิ์หัดละครหญิงขึ้นได้ มีละครชาตรีของหลวง เป็นละครชาตรีผู้หญิงล้วน เดิมเป็นละครของพระองค์เจ้าปัทมราช หัดละครขึ้นที่เมืองนคร ศรีธรรมราช และพามาถวาย ทรงโปรดให้เล่นเป็นละครชาตรี จึงเป็นละครชาตรีของหลวง นอกจากนั้นยังมีละครชาตรีของนายหนู บ้านสนามควาย เล่นอย่างละครโนราชาตรี นครศรีธรรม ราช แต่ตัวนายโรงใส่ชฎา ตัวนางแต่งตัวอย่างละครนอก ส่วนละครชาตรีเมืองเพชรบุรี เป็นการละเล่นของชาวบ้านที่พัฒนามาพร้อมๆ กับสมัยกรุงศรีอยุธยา
จากที่กล่าวมาข้างต้นมาจนถึงรัชกาลที่ 4 จะเห็นได้มามีคณะละคร ตลอดจนครูละครเพิ่มมากขึ้น และเผยแพร่ขยายออกมาตามภูมิภาคต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการปรับปรุงละครชาตรี ให้มีมาตรฐานเรียกว่าละครชาตรีเครื่องใหญ่ โดยใช้วงปี่พาทย์ของละครนอกและวงปี่พาทย์ละครชาตรีผสมเข้าด้วยกันบรรเลงเพลงหน้าพาทย์อย่างละครนอก การขับร้องใช้ร้องทางละครนอกและบรรจุเพลงบางเพลงที่มีสำเนียงออกไปทางภาคใต้ผสมเสียงกรับ โทน และฆ้องคู่ ใช้เพลงร่ายทั้ง 2 แบบ คือร่ายนอก และร่ายชาตรี
การละเล่นพื้นบ้านของภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราดนั้นมีการละเล่นมหรสพที่ปัจจุบันเรียกกันว่าละครเท่งตุ๊ก แต่เดิมมีชื่อเรียกว่าละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าละครเท่งตุ๊ก เป็นละครสืบทอดจากละครชาตรี ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเผยแพร่มาทางภาคตะวันออกในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นบ้านจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะและสืบทอดต่อๆ กันมา ละครเท่งตุ๊กในจันทบุรีแต่เดิมก็เรียกว่าละครชาตรีจนถึงประมาณรัชกาลที่ 4-5 มีการเรียกละครเท่งกรุ๊ก ตามเสียงโทนกลองคือเสียงเท่งจากโทน เสียงกรุ๊กจากกลองตุ๊ก และเสียงเพี้ยนมาเป็นละครเท่งตุ๊ก ในปัจจุบันท้องถิ่นแถบนี้จะเรียกละครชาตรีบ้าง ละครเท่งตุ๊กบ้าง หรือนำมาเรียกต่อกันว่า ชาตรี-เท่งตุ๊ก ผู้ที่สืบทอดละครเท่งตุ๊กแต่โบราณในจังหวัดระยอง ได้แก่ ครูหรีด สนิทราษฎร์, ครูตาล จังหวัดจันทบุรี ได้แก่ ครูขุนทอง, ครูทิม ภาคกิจ, ครูวัน, ครูแย้ม, ครูเทียม, ครูฉ่ำ, ครูดำ และครูงาม จังหวัดตราด ได้แก่ ครูฟุ้ง และครูต้อ ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว แต่ยังมีลูกศิษย์ที่สบทอดต่อกันมา
|